วิธีเลือกซื้อครีมทาหน้าให้ปลอดภัยในยุค Social Media

ครีมทาหน้าถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความสำคัญอย่างมากในยุคนี้ คนทุกเพศ ทุกวัยต่างมีความต้องการให้ตนเองดูดีอยู่เสมอ หน้าตาจึงถือได้เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ถือเป็นปราการด่านแรกที่จะแสดงให้คนรอบข้างที่ต้องพบปะสังสรรค์ด้วยเกิดความประทับใจตั้งแต่แรกพบ อันนำไปสู่การสานความสัมพันธ์อันนี้แบบต่อเนื่อง หน้าขาว ใส ดูมีน้ำมีนวล จึงกลายเป็นสิ่งที่คนในสังคมคาดหวัง ครีมทาหน้าจึงกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ยอดนิยมที่คนเลือกนำมาใช้ในการพัฒนาหน้าตาให้ดูดี และมีเสน่ห์มากขึ้น ครีมทาหน้ามีการผลิตขึ้นมากมายหลากหลายยี่ห้อ และนำมาขายเกลื่อนอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะการขายใน Social Network ต่าง ๆ ถ้าครีมทาหน้าที่ไม่มีความปลอดภัย นั่นคือ มีสารอันตรายต่าง ๆ เช่น สารปรอทแอมโมเนีย, ไฮโดรควิโนน, สเตียรอยด์ และตะกั่ว เป็นต้น แต่ครีมที่ขายแบบขาดมาตรฐานส่วนใหญ่มักจะนำสารที่เป็นอันตรายมาเป็นส่วนประกอบในการผลิตครีมทาหน้า เนื่องจากสารเหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่ดี ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งเมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน ๆ จะเกิดอันตรายต่อร่างกาย เช่น ระคายเคือง ภูมิแพ้ ผื่นขึ้น เกิดริ้วรอยบริเวณผิวที่ใช้ อาจจะอันตรายถึงขั้นเป็นโรคไต และภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ เป็นต้น การเลือกซื้อครีมทาหน้าให้เท่าทันโลก Social Media มีความจำเป็นอย่างมาก ต้องคำนึงถึงองค์ประกอบดังต่อไปนี้

  1. การโฆษณา เป็นสิ่งแรกที่ผู้บริโภคควรให้ความสนใจ ใส่ใจ ควรดูว่ามีการโฆษณาที่เกินความเป็นจริงหรือไม่ ครีมแต่ละชนิดก็จะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป เน้นการดูแลรักษาผิวหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น สำหรับคนเป็นสิว ลดริ้วรอย เป็นฝ้ากระ และครีมสำหรับคนแพ้ง่าย เป็นต้น ถ้ามีการโฆษณาว่าครีมมีประสิทธิภาพครอบจักรวาล หรือเมื่อใช้แล้วสามารถเห็นผลได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าครีมมีสารที่เป็นอันตราย ควรหลีกเลี่ยง
  2. การตรวจสอบเลขที่แจ้งครีมที่ฉลาก ที่ผู้ผลิตได้จดไว้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือเรียกสั้น ๆ ว่า อย. ถ้าครีมใดไม่มีการจดถือว่าเป็นครีมอันตราย ไม่มีความน่าเชื่อถือ และถ้ามีการจดให้ตรวจสอบว่าเลขที่จดผลิตภัณฑ์ตรงกันหรือไม่ เพื่อความน่าเชื่อถือในระดับหนึ่ง
  3. การดูรีวิวจากผู้ใช้จริง ในโลก Social Media ผลิตภัณฑ์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีมักจะมีการนำมารีวิว หรือพูดถึงความประทับใจในการใช้เพื่อให้คนทั่วไปได้รับทราบ หรือถ้าไม่ดี ก็จะมีการนำมาพูดถึงในแง่ลบเช่นกัน รับรองว่าถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดังจริง ๆ ตามที่มีการโฆษณาจะมียอดการรีวิวถล่มทลายอย่างแน่นอน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อครีมทาหน้าควรหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตก่อน

เมื่อตรวจสอบเบื้องต้นทั้งหมดแล้ว สุดท้ายก็คือให้ทดลองใช้ด้วยตนเอง ถ้านำมาใช้แล้วมีประสิทธิภาพ ทำให้ผิวหน้ามีสภาพดีขึ้นโดยไม่เกิดอาการแพ้ ก็สามารถใช้อย่างต่อเนื่องได้ แต่ถ้าใช้แล้วเกิดอาการแพ้ก็ให้หยุดใช้แล้วหาผลิตภัณฑ์ตัวใหม่อย่าฝืนใช้ต่อ เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อผิวได้ จำไว้เสมอว่าอาการแพ้ขึ้นอยู่กับสภาพผิวแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ

เลือกลิปสติกอย่างไรไม่ให้เฟล

อีกหนึ่งปัญหาคลาสสิกที่สาว ๆ หลายคนแก้ไม่ตกสักที โดยเฉพาะเวลาที่เห็นสาว ๆ คนอื่น ๆ หรือไม่ก็เซเลปในดวงใจทาปากสีนั้นสีนี้แล้วหลงรัก อยากจะทาสีนี้บ้าง อยากมีลุคอย่างนั้นบ้าง แต่พอทาลงไปที่ริมฝีปากเราเท่านั้นแหละ กระจกแทบร้าว เพราะเฟลอย่างแรง หลังจากนั้นเราก็ได้แต่ยืนตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ทำไมเป็นแบบนี้?” “แล้วจะต้องเลือกสีลิปอย่างไร?” คิดไม่ออก มืดแปดด้านเลย

เคล็ด (ไม่) ลับกับการเลือกสีลิปสติก พร้อมเทคนิคทดสอบสี

“ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง” ประโยคนี้ยังคงใช้ได้ดีมาจนถึงปัจจุบัน แต่จะแตกต่างกันไปในแต่ละคนว่าชอบแต่งเยอะหรือแต่งน้อย แต่ไม่ว่าจะแบบไหน สิ่งจำเป็นที่ต้องมีบนใบหน้าคือ “เขียนคิ้วและทาปาก” เพื่อเสริมให้ใบหน้าดูสดใส มีชีวิตชีวา ดูน่ามองมากขึ้น

เคยสังเกตหรือไม่ว่าระหว่างสาวสองคน ทาลิปสติกสีเดียวกัน แท่งเดียวกัน แต่สีที่ริมฝีปากออกมาคนละสีเลย นั่นเพราะมีอีกหนึ่งตัวแปรที่ทำให้สีเพี้ยนไป นั่นคือ “สีผิว” ดังนั้น การเลือกสีลิปสติกจึงต้องใส่ใจกันสักนิด

1.ผิวขาว

เป็นอะไรที่ไม่ต้องคิดมากเลย สำหรับสาวกลุ่มนี้ เพราะผิวขาวสามารถทาได้ทุกสี ทุกโทน ไม่ว่าจะเป็นโทนส้ม หรือส้มอิฐ โทนชมพู โทนแดง หรือแม้แต่โทนนู้ด อยู่ที่ว่าวันนั้นต้องการลุคแบบไหน สาวหวาน สาวเปรี้ยว สาวมั่น หรือสาวร็อค จัดได้หมด

2.ผิวเหลือง

สาว ๆ กลุ่มนี้ สีที่เหมาะก็จะยังโทนส้ม โทนแดง ยังได้อยู่ แต่ถ้าชมพู ควรเป็นชมพูเข้ม เพื่อเสริมให้หน้าดูสว่างขึ้น ไม่ซีด เพราะหากเลือกชมพูอ่อนหรือชมพูกลาง ๆ จะทำให้สีปากและหน้าดูคล้ำ

3.ผิวสองสีถึงผิวสีแทน

หรือที่หลาย ๆ คนรู้จักกันดีในชื่อของ “สาวผิวแทน” สำหรับสาว ๆ กลุ่มนี้ สีที่ใช้ควรเป็น โทนนู้ด หรือหากวันไหนอยากให้ปากดูฉ่ำ ดูอวบอิ่มมากขึ้น สามารถหาลิปกลอสที่มีชริมเมอร์หรือกลิตเตอร์แบบละเอียดมาทาทับได้ เท่านี้ก็ดูมีเสน่ห์ขึ้นเยอะ

4.ผิวเข้ม

สาวผิวเข้มดูแล้วก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบหนึ่ง หากใครที่กำลังคิดว่า สาวผิวเข้มต้องทาได้เฉพาะโทนแดงเท่านั้น บอกเลยว่า เปลี่ยนความคิดด่วน ๆ เพราะจริง ๆ แล้วสาวผิวเข้มมั่น ๆ สามารถทาได้ในโทนส้ม โทนแดง โทนนู้ด แต่ย้ำว่าทุกโทนที่ว่าควรมี “สีน้ำตาล” ผสมด้วย เพื่อเป็นการเบรกสีไม่ให้สว่างเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นจะยิ่งทำให้แลดูผิวคล้ำขึ้น

การลองสีลิปสติกก่อนตัดสินใจซื้อ แนะนำให้สาว ๆ ทาลิปสติกที่หลังมือ เพราะอย่าลืมว่าสาว ๆ หลายคนมีปัญหากับสีของขอบปาก ซึ่งคล้ำมากกว่าเนื้อปากส่วนอื่น หลังมือจึงเป็นสีที่ใกล้เคียงกับขอบปากของเรามากที่สุด ต่อจากนี้ไปสาว ๆ ก็จะไม่มีคำว่า “เฟล” กับการเลือกสีลิปสติกในพจนานุกรมแล้ว

สาเหตุเหล่านี้ไง ที่ทำให้น้ำหอมมีกลิ่นเพี้ยน

เราทุกคนย่อมต้องการมีบุคลิกภาพที่ดี และต้องการเป็นที่ปรารถนาของคนทั่วไป นอกจากการแต่งกายให้ดูดีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นแรงดึงดูดต่อผู้ที่พบเห็นได้คือ “น้ำหอม”

น้ำหอมนับเป็นสิ่งประทินผิวกายที่ช่วยเป็นแรงดึงดูดต่อเพศตรงข้ามได้อีกสิ่งหนึ่งเลยทีเดียว แต่เคยสังเกตกันบ้างไหมว่าบางครั้ง น้ำหอมแท้ที่เราเลือกซื้อจากร้านค้าทำไมจึงมีกลิ่นเพี้ยนไป วันนี้เรามีคำตอบของคำถามนี้


ปัจจัยภายนอกส่งผลให้กลิ่นผิดไป

ภายนอกอาจเกิดจากสิ่งแวดล้อมโดยทั่ว ๆ ไป เช่น แสงแดด ความร้อน สภาพอากาศ ฯลฯ ปัจจัยเหล่านี้เอง นับเป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้น้ำหอมของเรามีกลิ่นเพี้ยนไปจากเดิม หากคุณลองสังเกตให้ดี บางครั้งทำไมเราเทสต์น้ำหอมแท้หลายต่อหลายแบรนด์ เพื่อให้ได้กลิ่นที่ถูกใจที่สุดก่อนเลือกซื้อกลับบ้าน แต่เมื่อกลับมาถึงบ้าน หรือเมื่อเราใช้น้ำหอมนั้นแล้ว ทำไมน้ำหอมจึงมีกลิ่นที่เพี้ยนไป ไม่เหมือนตอนเทสต์น้ำหอมที่ร้าน สาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น สภาพอากาศ หรือการเก็บรักษาน้ำหอม เพราะเมื่อสถานที่ในการเก็บรักษาน้ำหอมเปลี่ยนแปลงไป กลิ่นของน้ำหอมย่อมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมด้วย วิธีการเก็บรักษาน้ำหอมเปลี่ยนแปลงไป ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการทำให้น้ำหอมมีกลิ่นเพี้ยนไปเช่นกัน ดังนั้นการเก็บรักษาน้ำหอมให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่ถูกแสงแดดหรือความร้อน ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยรักษากลิ่นน้ำหอมให้คงเดิมได้ หรือแม้กระทั่งสภาพร่างกายของแต่ละบุคคลก็ทำให้น้ำหอมมีกลิ่นเพี้ยนไปจากเดิมได้ ที่เป็นเช่นนี้เพราะแต่ละคนมีเหงื่อหรือฮอร์โมนไม่เหมือนกัน หากบางคนเหงื่อออกมาก เมื่อเหงื่อทำปฏิกิริยากับน้ำหอม ก็ย่อมทำให้น้ำหอมมีกลิ่นเพี้ยนไม่เหมือนเดิม หรือมีการทาน้ำหอมตรงบริเวณของร่างกายต่างกัน ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำหอมมีกลิ่นไม่เหมือนกัน เป็นต้น

ปัจจัยภายในน้ำหอมก็มีส่วนเช่นกัน

                เนื่องจากน้ำหอมมีส่วนผสมหลักคือ “เอสเทอร์” หรือหัวน้ำหอมผสมกับแอลกอฮอล์ ซึ่งหากเอสเทอร์หรือหัวน้ำหอมมีอัตราส่วนที่น้อยกว่าแอลกอฮอล์แล้วนั้น เมื่อเราใช้น้ำหอมไปสักพัก กลิ่นน้ำหอมจะเพี้ยนไปไม่เหมือนเมื่อตอนเทสต์ที่ร้านค้า เพราะหัวน้ำหอมมีน้อยนิดนั่นเอง ความหอมของน้ำหอมจึงมีปริมาณน้อยและไม่ยาวนาน นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำหอมมีกลิ่นเพี้ยนไปจากเดิม

ดังนั้นการเลือกซื้อน้ำหอมที่มีส่วนผสมของหัวน้ำหอมในอัตราส่วนที่เหมาะสม หรือการเลือกใช้น้ำหอมแท้ ก็ย่อมคงความหอมในแบบฉบับของกลิ่นได้ยาวนานขึ้น ช่วยให้ได้น้ำหอมกลิ่นเดิม เช่นเดียวกับขณะเมื่อเราเลือกซื้อที่ร้านค้า เนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำหอมมากกว่าแอลกอฮอล์ เพราะการเลือกใช้น้ำหอมเป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึงคาแรคเตอร์และตัวตนของคุณ ดังนั้นการเลือกใช้น้ำหอมแท้ที่ส่วนผสมได้รับการคิดค้นอย่างลงตัว และกลิ่นน้ำหอมที่เหมาะกับคุณจึงมีความสำคัญในการสร้างเสน่ห์ให้ชวนหลงใหลได้ลงตัวกว่า